User ยินดีต้อนรับ ผู้มาเยี่ยม
   

ให้บริการเช่ารถตู้ พร้อมคนขับ สำหรับ : ท่องเที่ยว ประชุม สัมมนา ตีกอล์ฟ รับ-ส่ง แบบรายวัน วิ่งงานประจำ
บริการเช่ารถตู้เอ็นจีวี เป็นรถตู้รุ่นใหม่ รุ่น VVT-I สามารถใช้ได้ทั้งระบบก๊าซเอ็นจีวี และระบบน้ำมัน
ที่ได้รับมาตรฐานจากศูนย์เอ็นจีวีคาร์เซ็นเตอร์ ความปลอดภัยดีเยี่ยม
เป็นรถประหยัดเชื้อเพลิง เพียง กม.ละ 1 บาท เท่านั้น ภายในรถตู้กว้าง พร้อมเครื่องเสียง ทีวี แอร์เย็นฉ่ำ
จองที่พักปาย
จองที่พักปาย
โต๊ะจีนนครปฐม โต๊ะจีนดี คุณภาพอาหารเยี่ยม ไมตรีโภชนา
โต๊ะจีนนครปฐม โต๊ะจีนดี คุณภาพอาหารเยี่ยม ไมตรีโภชนา
  NewTopic NewReply
 Topic ข้ามกาลเวลาย้อนยุคสมัยสมเด็จพระนเรศวร จ.กาญจนบุรี
User anna (Administrator)
เป็นสมาชิกเมื่อ : 18/3/2552
โพสต์ : 83
 
Vcard 2 มิถุนายน 2552 - 23:08:34 น.  
DotE
 ทัวร์สังขละ ทัวร์กาญจนบุรี 2,400 บาท รถตู้ VIP จาก กทม. วัดจมน้ำ เมืองบาดาล สะพานมอญ ป้อมปี่ น้ำพุร้อนหินดาด วัดเสาร้อยต้น วัดวังวิเวกการา น้ำตกผาตาด ทองผาภูมิ สังขละบุรี
ข้ามกาลเวลาย้อนยุคสมัยสมเด็จพระนเรศวร จ.กาญจนบุรี
วันนี้เป็นวันหนึ่งที่หลาย ๆ คน ในเมืองต่างก็ทำงานกันตามปกติ แต่สำหรับพวกเราแล้ววันนี้เป็นวันหนึ่งที่พวกเราได้มีโอกาสจะเดินทางด้วยกันกับสมาชิกกลุ่มน้อย ๆ จำนวน 5 คน พวกเราคุยถึงเรื่องการที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวใน จ.กาญจนบุรี ในช่วงเย็นวานที่ผ่านมา และสรุปได้ว่าจะต้องเดินทางไปชมกองถ่ายทำละครสมเด็จพระนเรศวร โฟกัสของการเดินทางในครั้งนี้ เพราะถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดใหม่ และทุกคนก็เห็นพ้องต้องกัน วันนี้พวกเราจึงออกเดินทางกันแต่เช้า โดยนัดพบกันที่หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ตอน 8 โมงเช้า แล้วมุ่งหน้าไปทาง อ.กำแพงแสน จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายไปทาง อ.พนมทวน เพื่อที่จะไปออก จ.กาญจนบุรี เราวิ่งตามทางหลักซึ่งเป็นถนนราดยางตลอดก็ทะลุถนนเส้นเลี่ยงเมือง จ.กาญจนบุรี จากนั้นก็เลี้ยวขวาไปโผล่ที่สี่แยกแก่งเสี้ยนประมาณ 09.00 น. เห็น จะได้ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทาง อ.ไทรโยค โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 3199

ตอนนี้ทุกคนก็เริ่มหิวกันแล้ว เพราะก่อนออกมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย พวกเราจึงมองหาร้านอาหาร และไปสะดุดตาร้านอาหารป่าบริเวณริมถนนร้านหนึ่ง ที่ดูแล้วราคาไม่น่าจะแพงจนเกินไป พวกเราจึงตัดสินใจเข้าไปใช้บริการ และก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ เมื่อได้ลองลิ้มชิมรสผัดเผ็ดหมูป่าจานแรก จนต้องเบิ้ลเป็นจานที่สอง หลังจากอิ่มหนำกับอาหารมื้อเช้าแล้ว พวกเราก็ออกเดินมุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติสงครามเก้าทัพระหว่างทางประมาณหลัก กม.ที่ 10-11 พวกเราก็ต้องจอดแวะที่ทำการเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาสลักพระ เพื่อขอโบชัวร์และข้อมูลไปศึกษาเผื่อคราวหน้ามีโอกาศ จะได้แวะเข้ามาเที่ยวชม


จากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางต่อจนมาถึงหลัก กม. 24 ก็พบทางเข้าอุทยาประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพอยู่ด้านซ้ายมือ ผมเลี้ยวซ้ายแล้วขับมาประมาณ 1 กม. ก็ถึงที่จอดรถ จากนั้นพวกเราก็เข้าไปสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ที่เป็นทหารคอยดูแลสถานที่ ก็ได้คำแนะนำว่าที่นี่ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม โดยเปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00-17.00 น. และจุดแรกให้ไปที่อาคารจัดนิทรรศการก่อน

เมื่อพวกเรามาถึงอาคารแสดงนิทรรศการ ก็ต้องสะดุดตากับป้ายความเป็นมาของอุทยานแห่งชาติสงครามเก้าทัพว่า เป็นความริเริ่มของกองทัพบก โดย พลเอกสุรยุทธ์จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ซึ่งได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป จัดสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542 ทั้งนี้เนื่องจากขณะที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ประธาน คณะทำงานคณะส่งเสริมการท่องเที่ยวของกองทัพบก ได้นำคณะทำงานฯ สำรวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ใน จ.กาญจนบุรี และพบว่าพื้นที่ที่เคยเป็นสมรภูมิรบในสงครามเก้าทัพ ยังคงสภาพเดิม เหมาะสำหรับศึกษาหลักการใช้ภูมิประเทศ และเส้นทางเดินทัพ ตลอดจนการดำเนินกลยุทธ์ ซึ่งทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ผู้ทรงเป็นแม่ทัพสามารถรบชนะทัพข้าศึก ซึ่งมีกำลังพลมากกว่าได้อย่างราบคาบสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรม
ราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนิน มาทรงกระทำพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2543





เมื่อเข้ามาภายในตัวอาคาร เจ้าหน้าที่ก็ให้พวกเราเดินชมรอบ ๆ ตัวอาคาร ส่วนมากจะมีแผนที่นูนต่ำแสดงการรบของตำบลต่าง ๆ ภายในตู้กระจกโดยรอบ โดยมีรูปปั้นปู่มั่นและปู่คง อยู่ด้านหน้าประตู แต่ที่สำคัญภายในมีวิดีทัศน์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การรบตั้งอยู่รอบจุดศูนย์กลางของอาคาร เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ชมและทราบถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาในอดีต



จากนั้นพวกเราก็เดินทางขึ้นไปยังป้อมสังเกตการณ์ เพื่อให้ผู้ที่มีความสนใจประวัติศาสตร์เข้าใจการเลือกใช้ภูมิประเทศในการเดินทัพ และจุดสกัดกั้นทัพพม่าได้ชัดเจนขึ้น และจุดนี้ยังเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งอีกด้วย เราใช้เวลาอยุ่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ออกเดินทางต่อ โดยจุดหมายต่อไปก็คือ กองถ่ายทำเรื่องสมเด็จพระนเรศวร หรือพร้อมมิตรฟิล์มสตูดิโอ พวกเราต้องย้อนกลับทางเดิม โดยมุ่งหน้าไปยังแยกลาดหญ้าจากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้ามาเป็นระยะทางประมาณ 2.5 กม. ก็จะพบป้ายพร้อมมิตรฟิล์มสตูดิโออยู่ด้านซ้ายมือ แล้วพวกเราก็เลี้ยวซ้ายและขับตามทางประมาณ 2.4 กม. ก็ถึงพร้อมมิตรฟิล์มสตูดิโอ เมื่อพวกเราจอดยังที่จอดรถแล้วก็ไปชำระค่าบริการคนละ 100 บาท (ถ้าเป็นเด็กจะต้องเสียคนละ 50 บาท สำหรับชาวต่างประเทศท่านละ 200 บาท) โดยเปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00-17.00 น. จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้ตั๋วและแผนที่การเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ กลับมาคนละ 1 ฉบับ โดยเคาเตอร์ที่ให้บริการอยู่ไม่ห่างจากลานจอดรถมากนัก

เมื่อมาถึงทางเข้าสถานที่ถ่ายทำเจ้าหน้าที่ก็ขอเก็บบัตรเข้าชม จากนั้นพวกเราก็เดินทางมาถึงจุดแรกตามแผนที่ก็คือ หมู่บ้านโยเดีย ที่เป็นฉากอยู่ในประเทศพม่า จุดนี้นักท่องเที่ยวจะพบกับช้างที่ยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าหมู่บ้านโยเดียนี้ ท่านสามารถเลี้ยงช้างด้วยกล้วยในราคาตะกร้าละ 20 บาท และจุดนี้ยังมีน้ำดื่มบริการในราคารมาตรฐานทั่ว ๆ ไปตามท้องตลาด

เพื่อไม่ให้เสียเวลาพวกเราเดินทางมายังสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในฉากที่ประเทศพม่าก็คือ กุฏิมหาเถรคันฉ่อง และบริเวณแห่งนี้ยังมีสถานที่สำคัญอีกก็คือ โบสถ์วัดมหาเถรคันฉ่อง และห้องเก็บศาตราวุธ ซึ่งเป็นที่เก็บศาตราวุธของสมเด็จพระนเรศวร ดูแล้วขลังจริง ๆ โดยแต่ละจุดจะมีจอพลาสมาบรรยายตอนสำคัญในฉากแต่ละสถานที่





จากนั้นพวกเราก็เดินตามแผนที่เพื่อไปชมกำแพงเมืองหงสาวดีที่ยาวเรียบไปตามลำคลอง จนถึงหน้าประตูเมืองหงสาวดีก็ต้องถึงกับอึ้งและต้องเก็บรูปไว้เป็นระลึก ้เมื่อเห็นรูปปั้นสิงห์ยืนตระหง่านอยู่หน้าสีหสาสนบัลลังก์ เราชมความงามและความอลังการของรูปปั้นสิงห์ซักพักใหญ่ก็เดินทางชมจุดต่อไปก็คือ อาคารแสดงนิทรรศการ ซึ่งมีรูปของบุคคลต่าง ๆ ที่สำคัญในภาพยนต์เรื่องสมเด็จพระนเรศวรอยู่มากมาย




จากนั้นพวกเราก็เดินทางเข้าชมความงดงามของสีหสาสนบัลลังก์ที่เหลืองอร่าม ชวนให้รู้สึกว่าอยู่เมืองหงสาวดีจริง ๆ


ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ที่ประจำที่จุดนี้ก็แนะนำให้ชมสถานที่ถัดไปคือคุกใต้ดิน ซึ่งอยู่ติดกับสีหสาสนบัลลังก์ โดยเป็นคุกจำลองในภาพเรื่องสมเด็จพระนเรศวร จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็บอกให้พวกเราไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ด้านหน้าสีหสาสนบัลลังก์ เพื่อไปชมสถานที่ถัดไป

ไม่นานนักรถไฟฟ้าก็พาพวกเรามาถึงสรรเพชรปราสาท เพื่อชมความงดงามภายในปราสาท ที่กองถ่ายได้สร้างขึ้น พวกเราแวะถ่ายภาพกันครู่ใหญ่ ก็ให้รถไฟฟ้าพามาจุดถัดไปก็คือ นั่งช้าง นั่งเกวียน ขี่ม้า


จุดนี้จะเป็นจุดที่บริการน้ำดื่มสำหรับนักท่องเที่ยวที่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง และสามารถนั่งช้าง นั่งเกวียน ขี่ม้าได้ ในอัตราค่าบริการประมาณ 300 บาท ต่อการใช้บริการ 1 ครั้ง แต่พวกเราไม่ได้ใช้บริการ แต่ก็ให้อาหารช้างแสนรู้ที่เต้น และทำท่าทางแปลก ๆ จนเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับพวกเรา

จากนั้นรถไฟฟ้าก็พาพวกเราผ่านหมู่บ้านอโยธยา ที่ปลูกเรียงรายอยู่สองฟากฝั่งริมแม่น้ำ ดูแล้วเหมือนได้ย้อนอดีตกลับมาอยู่ในสมัยอโยธยาจริง ๆ


จากนั้นรถไฟฟ้าก็พาพวกเราไปจุดสุดท้ายที่ตำหนักบุเรงนอง ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถแต่งกายแบบโบราณและถ่ายภาพได้ แต่พวกเราก็ไม่ได้ใช้บริการ ได้แต่เพียงเก็บรูปบางส่วนของตำหนักบุเรงนองเท่านั้น


จากนั้นก็เดินมายังห้องเก็บอุปกรณ์ประกอบฉากในการถ่ายทำภาพยนต์สมเด็จพระนเรศวร แล้วก็ทะลุไปห้องจำหน่ายของที่ระลึก เพื่อออกไปยังลานจอดรถ พวกเราออกจากพร้อมมิตรฟิล์มสตูดิโอ ประมาณ 13.30 น. แล้วย้อนกลับไปยังตัวเมือง จ.กาญจนบุรี

เพื่อเดินทางต่อไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ , อเมริกัน , ออสเตรเลีย และฮอลันดา จำนวนมากมาสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า ซึ่งมีส่วนหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนขาดสารอาหาร ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง


นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ส่วนมากจะเดินข้ามสะพานเพื่อเก็บรูปความสวยงามของสะพาน และตัวแม่น้ำแควใหญ่ หากมีรถไฟแล่นมาบนสะพาน นักท่องเที่ยวสามารถหลบรถไฟได้ตามจุดหลบรถไฟที่มีอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำแควเป็นช่วง ๆ บนฝั่งยังมีรถรางบริการนักท่องเที่ยวในราคาคนละ 20 บาท โดยจะวิ่งข้ามสะพานแม่น้ำแคว แล้วจะย้อนกลับมาที่สถานี และบริเวณบนฝั่งโดยรอบยังมีร้านอาหารและร้านค้าบริการนักท่องเที่ยว พวกเราจึงได้พักรับประทานอาหารที่นี่



เมื่อความหิวหมดไปพวกเราก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่สุดท้ายของการเดินทางในทริปนี้ก็คือสุสานดอนรัก ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนแสงชูโต (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323) ผู้ที่มาส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ส่วนมากจะเดินดูรายชื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ว่าเป็นบรรพบุรุษหรือผู้ที่ตนเคยรู้จักหรือไม่ พวกเราได้แต่ขับรถชมสุสานดอนรักรอบ ๆ ด้านนอกกำแพง


จากนั้นจึงเดินทางต่อไปซื้อของฝากจาก จ.กาญบุรี แล้วจึงเดินทางกลับมา จ.นครปฐม ประมาณ 5 โมงเย็น โดยสวัสดิภาพ แล้วรอเรื่องเล่าการเดินทางจากพวกเรา annaontour.com ในทริปหน้าต่อนะครับ

เรื่องเล่าการเดินทาง จาก Mr.annaontour
 
Information ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของระบบไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม กรุณาแจ้งที่ Email annop_nanya@hotmail.com เพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป
 
Copyright © 2009 www.annaontour.com. All rights reserved.
Untitled Document
สถิติผู้เข้าชม ขณะนี้มีผู้ชมอยู่ 86 ราย