anna (Administrator) |
 |
เป็นสมาชิกเมื่อ : 18/3/2552 |
โพสต์ : 83 |
|
|
2 มิถุนายน 2552 - 00:20:31 น. |
|
|
ทัวร์ราชบุรี วัดขนอนหนังใหญ่ เพลินใจค้างคาวร้อยล้าน ชมอุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม วันตรุษจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ในประเทศไทยมีชาวไทยเชื้อสายจีนอยู่มาก ครอบครัวของผมก็ผมก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน หลังจากวันไหว้ 1 วัน ผมก็ได้พบปะกับญาติ ๆ ที่เดินทางกลับมาบ้านเช่นกัน เมื่อไหว้เสร็จ พวกเราก็ได้มีโอกาสพูดคุยกัน และอดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องที่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวกันมา เลยทำให้วันพรุ่งนี้ที่เป็นวันเที่ยว(ของชาวจีนรวมพวกเราด้วย) เกิดคึกคักขึ้นมา และก็โหวตว่าอยากไปเที่ยวปิดทองตามวัดต่าง ๆ ในต่างจังหวัด (แค่วันเดียวกก็ไปได้แค่จังหวัดใกล้ ๆ นี่แหละ) พวกเราลงมติว่าจะไปปิดทองแถวจังหวัดราชบุรี อย่างน้อยซัก 1 วัด (ช่วงนี้วัดต่าง ๆ จะมีเทศกาลปิดทองค่อนข้างเยอะ) ผมจึงอาสาที่จะพาไป (ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ามีปิดทองที่วัดไหนบ้าง) ผมกะว่าจะไปทาง อ.โพธาราม เพราะแถวนั้นมีวัดเยอะมาก โดยจะไปตั้งหลักที่วัดหนองหอย (ก่อนถึง เขางู 5 กม.) แล้วจะหาดูวัดที่มีการปิดทองระหว่างการเดินทาง พวกเราออกเดินทางกันแต่เช้าจาก จ.นครปฐม ระหว่างทางเราเห็นป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดใหม่ อย่างอุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม และอยู่ไม่ไกลจากบริเวณแถวสี่แยกบางแพ ให้เลี้ยวซ้ายมาทางดำเนินประมาณ 2 กม. เห็นจะได้ อยู่ด้านขวามือติดริมถนน (เลยมาประมาณ 800 เมตรจะมีที่กลับรถ)
 พวกเราจึงแวะเข้าไปชมครับ ด้านในมีที่จอดรถกว้างขวางและมีเจ้าหน้าที่บริการกันอยู่มากมาย พวกเราเดินทางเข้าสู่ทางเข้า โดยต้องเสียค่าธรรมเนียมเเข้าชม อัตราค่าบริการผู้ใหญ่ท่านละ 50 บาท เด็กท่านละ 20 บาท
 จุดแรกที่เราเดินทางเข้าไปก็คือ อาคารเชิดชูเกียรติ ด้านในมีบุคคลสำคัญหลายท่านในประเทศไทยและต่างประเทศที่ทำจากหุ่นขี้ผึ้ง เช่น สืบ นาคะเสถียรม, ผู้นำของจีนเหมาเจ๋อตุง, ผู้นำของเวียดนามโฮจิมิน, แม่ชีเทเรซ่า เป็นต้น






 จากนั้นพวกเราก็เดินทางมายังถ้ำชาดกมีการแสดงแสงเสียงเกี่ยวกับพระชาติสุดท้ายของพระเวสสันดร ซึ่งมีหุ่นขี้ผึ้งในวรรณคดี เช่น พระเวสสันดร ชูชก พระกุมาร เราเดินชมกันแล้วจึงออกจากถ้ำ
 สถานที่ถัดไปก็พวกเราก็พบกับลานพระ 3 สมัย เราแวะถ่ายรูปกันซักครู่ก็เดินมายังสถานที่ต่อไป ก็คือกุฏิพระสงฆ์ในแต่ละภาค ซึ่งภายในกุฏิจะมีหุ่นขี้ผึ้งของ เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของแต่ละภาคอยู่ เช่นพระอาจารย์โต พระอาจารย์เขียน หลวงปู่ทวด ครูบาศรีวิชัย จากนั้นพวกเราก็เดินทางมายัง บ้านเรือนไทยสี่ภาค ภายในก็มีข้าวของเครื่องใช้ของ และรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งในภาคต่าง ๆ ก่อนที่เราจะออกจากจากการชมหุ่นขี้ผึ้ง



 เราจะผ่านลานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่จำลองขึ้นมา พวกเราใช้เวลาเดินชมอยู่พระมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ก็เดินทางออก และมุ่งหน้าสู่ อ.โพธาราม พวกเราคิดว่าจะไปเริ่มต้นที่วัดหนองหอย (ก่อนจะถึงเขางูประมาณ 5 กม. ได้ยินเขาบอกกันว่าสวย เลยอยากมาชมและนมัสการ) พอขับมาได้ประมาณ 5 กม. จะข้ามสะพานแม่น้ำแม่กลอง จากนั้นจะเป็น 3 แยก แยกซ้ายไปวัดเขาช่องพราน (ทางนี้แหละไปวัดหนองหอย) ทางซ้ายไปวัดขนอน ในใจก็พลันคิดได้ว่าของดีของเมืองราชบุรี มีวัดขนอนหนังใหญ่ จึงตัดสินใจเลี้ยวขวา ไปตามป้ายอีก 2.5 กม. ถึงวัดขนอน เมื่อมาถึง ปรากฏว่าวันนี้ไม่มีคนมาเยื่อน มีพวกเราเป็นกลุ่มแรก ระหว่างนั้นก็เหลือบไปเห็นโรงละครหนังใหญ่ แต่ไม่เปิดทำการแสดง (รู้ทีหลังว่าเปิดเฉพาะวันเสาร์ เวลา 10.00 น.- 11.00 น.)



 พอดีเหลือบไปเห็นชาวบ้านกำลังขนของจึงเข้าไปถาม เขาบอกว่ามีพิพิธภัณฑ์อยู่ติดกับศาลาวัดนี่แหละ แล้วเขาก็ชี้ให้พวกเราไปตามทาง พวกเราเดินมาแป๊บเดียว ก็พบกับพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน
 พวกเราจึงเข้าไปดู มีพระภิกษุดูแลและให้คำบรรยาย พอจะรู้ได้ว่าจริง ๆ แล้วน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ปัจจุบันได้รับรางวัลจากยู่เนสโก้ โกประกาศให้ “การสืบทอดและฟื้นฟูหนังใหญ่วัดขนอน” ได้รับรางวัลจาองค์กรการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนไทย) เราชื่นชมศิลปะที่หาดูได้ยากจนถึงแก่เวลา จึงเข้ากราบพระบนศาลา

 จากนั้นจึงมาที่รถเพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังวัดหนองหอย(ใช้เส้นทางหลวง หมายเลข 3089) ระหว่างการเดินทางรถเยอะมาก เพราะวัดที่อยู่เส้นการเดินทางนี้มีการปิดทองฝังลูกนิมิตร ผมกะว่าจะแวะมาตอนขากลับ (มีวัดเขาช่องพราน และวัดหนองกวางใหม่) ผมขับมาได้ประมาณ 28.7 กม. (ก่อนจะถึงเขางู 5 กม.) ก็เห็นวัดหนองหอยตั้งอยู่บนยอดเขาสูงตะหง่านมองแล้วสะดุดตา และมีรถเข้าออกปากทางเข้าวัดเยอะมาก เห็นแล้วน่าสนใจมากผมจึงขับรถเข้าไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดหนองหอย









 ระหว่างทางเข้ารถติดมากเพราะผู้คนส่วนใหญ่จะแวะขึ้นไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมบนยอดเขา เราเสียเวลาในการรอขึ้นวัดหนองหอยนานไปหน่อย จากนั้นจึงแวะซื้อของฝากนิดหน่อย (ได้ปลาสร้อยตากแห้งมา 5 แผง) จึงเดินทางย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อที่จะไปปิดทองวัดหนองกวางใหม่ ก่อนที่พวกเราจะไปปิดทองวัดหนองกวางใหม่ พวกเราก็พบป้ายสถานที่ท่องเที่ยวได้แก่ วัดถ้ำน้ำ (ห่างจากวัดหนองหอยประมาณ 10 กม. และห่างจากวัดเขาช่องพราน 3.3 กม. ถ้ามาจากวัดหนองหอยจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายเข้ามา 0.5 กม. จะพบแยกขวาเข้าวัดถ้ำน้ำ ขับมาประมาณ 0.6 กม. จะถึงวัดถ้ำน้ำ) พวกเราจึงตัดสินใจแวะเที่ยวชมและเก็บรูปก่อน เมื่อเดินทางเข้ามาถึงวัดถ้ำน้ำ พวกเราก็เดินทางเข้าไปยังภายในถ้ำน้ำ เพื่อชมบรรยากาศภายในถ้ำน้ำ บรรยากาศภายในถ้ำน้ำก็เย็นสบายดี ภายในส่วนมากเป็นน้ำ (สมกับชื่อวัดถ้ำน้ำ) แต่ก็มีทางปูนให้พวกเราได้เดินเข้าไปชมหินงอกหินย้อนภายในถ้ำน้ำ รวมถึงได้เข้าไปไหว้พระพุทธรูป เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเอง






 จากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าสู่วัดหนองกวางใหม่ จากทางเข้าวัดถ้ำน้ำ เราขับรถมาทางวัดเขาช่องพราน ไม่ถึง 1 กม. จะพบป้ายวัดหนองกวางใหม่อยู่ด้านซ้ายมือ จากนั้นเลี้ยวซ้ายแล้วขับเข้ามาประมาณ 17 กม. (จากเส้นทางหลัก3089 ขับเข้ามาประมาณ 17 กม. จะผ่านศูนย์วิจัยเกี่ยวกับพันธุ์กวาง อยู่ติดถนนด้านขวามือ สังเกตุดูเอามีกวางเพียบเลย) จะพบป้ายบอกให้เลี้ยวขวาไปวัดหนองกวางใหม่ ขับเข้ามาประมาณ 800 เมตร ก็จะพบวัดอยู่ทางด้านขวามือ พอเข้าไปถึงก็คิดถึงตอนสมัยเป็นเด็กทันที เพราะบรรยากาศในงาน มีร้านค้ามากมายตั้งเรียงราย มีดนตรี ลิเก ชิงช้าสวรรค์ ได้บรรยากาศลูกทุ่งจริง ๆ

 พวกเราปิดทองเรียบร้อยก็เดินทางออกจากวัดหนองกวางใหม่ทันที เพื่อเดินทางไปปิดทองต่อที่วัดเขาช่องพราน (อยากจะดูค้างคาวร้อยล้านที่เป็น Unseen in Thailand) จากทางเข้าวัดหนองกวางใหม่ ขับมาประมาณ 3 กม. ก็ถึงวัดเขาช่องพราน ที่วัดนี้คนมาปิดทองมากจริง ๆ เพราะคนส่วนมากจะมารอชมค้างคาวร้อยล้านที่ออกมาหากินในช่วงเย็น พวกเราวนหาที่จอดรถได้แล้ว ก็ลงไปหาอะไรรองท้องมื้อเย็น
 จากนั้นอิ่มกับมื้อเย็นพวกเราจึงรีบเข้าไปปิดทองในโบสถ์ เพื่อที่จะรีบออกมารอชมค้างคาวตั้งแต่ 16.30 น. เพระได้ยินโฆษกประกาศว่าค้างคาวจะออกมาหากินประมาณ 17.00 น. รอไปถึง 17.30 น. ก็ยังไม่เห็นมีเลย ตาเหลือบไปเห็นผู้คนเดินขึ้นไปบนเจดีย์บนยอดเขาช่องพราน จึงเดินไปขึ้นไปดูบ้าง ก็พบกับถ้ำพระนอน ข้างในกลิ่นมูลค้างคาวแรงมาก แต่ก็ได้พบกับพระพุทธรูปจำนวนมากอยู่ในถ้ำ โดยเฉพาะเพราะนอนที่เป็นชื่อของถ้ำนี้ เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่มีความยาวถึง 9 เมตรเศษ สูง 1 เมตรเศษ ประดิษฐานอยู่
 ผมยังเดินหน้าต่อไปบนยอดเขาเพื่อจะเข้าไปกราบนมัสการพระเจดีย์ด้านบน ขึ้นไปถึงก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน รู้ที่หลังว่าเป็นพระบรมธาตุบวรวิสุทธิเจดีย์
 จากนั้นเราก็เก็บวิวด้านบน และรอเวลาค้างคาวออกหากิน

 พระอาทิตย์กำลังจะลับของฟ้าจวบจนเวลาปาเข้าไป 18.00 น. ค้างคาวจำนวนหนึ่งกำลังบินออกมาจากปากถ้ำ (บริเวณปากถ้ำห้ามนักท่องเที่ยวลงไป เพราะจะทำให้เกิดอันตรายได้เนื่องจากมีสัตว์ออกมารอกินค้างคาวที่กำลังบินออกจากปากถ้ำ อีกถั้งปากถ้ำยังเป็นจุดลาดชัน) ผมเก็บภาพค้างคาวที่กำลังออกมาหากิน ที่บินเป็นแถวยาวไปบนท้องฟ้าอย่างงดงามจนค่ำ มองไปฝูงค้างคาวยังคงบินอยู่แต่พวกผมจำต้องต้องลากลับแล้ว เพราะเวลามืดเข้าไปทุกขณะ เพื่อเก็บพลังกายพลังใจไวเดินทางต่อในคราวหน้า


 แล้วค่อยมาพบกันใหม่นะครับ
เรื่องเล่าการเดินทาง จาก Mr.annaontour |
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2552 - 00:33:44 น. |
|
|