anna (Administrator) |
|
เป็นสมาชิกเมื่อ : 18/3/2552 |
โพสต์ : 83 |
|
|
28 พฤษภาคม 2552 - 14:08:25 น. |
|
|
………. อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ….. ความทรงจำที่ยังตรึงใจฉันอยู่เสมอ ……….. เพียงรอว่าซักวันว่าจะได้มีโอกาสไปเยือนอีกครั้ง ……เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ……….. สู่ธรรมชาติที่สวยงาม …………….. ภาพของสัตว์ป่า แมลง ต้นไม้ ภูเขา น้ำตก …………. ยังคงเรียกหาให้ไปสัมผัสอีกครั้ง
ผมจำได้ว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ช่วงต้นเดือนมิถุนายน (กำลังเข้าสู่หน้าฝน) ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวแบบลุย ลุย กับสมาชิกเพื่อน ๆ ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 คนด้วยกัน ตอนนั้นมีสโลแกนของการท่องเที่ยวออกตามสื่อโทรทัศน์บ่อย ๆ ว่า “เที่ยวเมืองไทยไม่แพงอย่างที่คุณคิด” จึงเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราได้ไปเที่ยวและพักผ่อน โดยมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด การเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้นแบบกระทันหันก่อนการเดินทางเพียง 1 วันเท่านั้น พวกเราคิดว่าเราจะใช้เวลาท่องเที่ยวประมาณ 3 วัน 2 คืน โดยการเดินทางครั้งนี้เราจะใช้บริการรรถประจำทาง และอาศัยโบกรถที่ผ่านเส้นทางที่เรากำลังเดินทางไป พวกเราจัดเตรียมสัมภาระก่อนที่จะเดินทางในวันรุ่งเช้า ในรุ่งเช้าของวันอังคาร เรานัดเจอกันตอน 08.00 น. ที่หน้า ม.ศิลปากรวิทยาเขตสนามจันทร์ จ.นครปฐม โดยมีจุดหมายแรกคือตัวเมือง จ.เพชรบุรี เมื่อสมาชิกทุกคนมาถึงเราก็ขึ้นรถ กรุงเทพฯ-เพชรบุรี ค่าโดยสารตอนนั้นประมาณคนละ 100 บาท ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. พวกเราก็อยู่ในตัวเมืองเพชรบุรีแล้ว ตอนนั้นพวกเราก็มองหารถที่จะพาพวกเราไปยังอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน แต่ก็ยังไม่รู้จะไปอย่างไร เลยสอบถามวินเตอร์ไซด์แถวนั้นก็ได้ความว่า รถจะผ่านเส้นที่เรากำลังรอนี่แหละให้พวกเรารอก่อนอีกไม่นานรถก็คงจะมาแล้ว ช่วงเวลาที่เรารอก็รีบหาอาหารรองท้องกันก่อนเพราะเรายังไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีร้านค้าหรือปล่าว อีกไม่นานก็มีรถประจำทางหกล้อ ที่นั่งสองแถวผ่านมา หน้ารถมีป้ายเขียนว่า เพชรบุรี-ท่ายาง จอดรอผู้โดยสารอยู่ วินมอเตอร์ไซด์ตะโกนบอกพวกเราว่ารถมาแล้วให้รีบขึ้นรถ พวกเรารีบวิ่งออกจากร้านอาหารและขึ้นรถทันทีโดยไม่รอช้า เมื่อขึ้นรถแล้วเราก็สำรวจความเรียบร้อยของสัมภาระและก็ไม่ลืมที่จะสำรวจสมาชิกในกลุ่มก็ปรากฏว่าครบ 5 คนครับ รถจึงออกเดินทาง ผมมองสำรวจผู้โดยสารบนรถว่ามีใครจะมาเที่ยวแบบพวกเราหรือปล่าวปรากฏว่าไม่มีเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน และคนพื้นที่ ผมเลยสอบถามข้อมูลจากชาวบ้านว่ารถจะไปลงที่ไหน ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งเป็นคุณป้าหน้าตาใจดีบอกว่ารถจะไปจอดที่หน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พวกเราโล่งใจเมื่อได้ยินคุณป้าใจดีบอกกับพวกเรา แต่ก่อนจะถึงอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานผู้โดยสารที่ขึ้นมากับพวกเราก็ลงจากรถหมด เหลือแต่พวกเรา 5 คน ที่ยังคงนั่งอยู่ เมื่อมาถึงทางเข้าอุทยานคนขับรถก็บอกว่าส่งได้แค่นี้แหละ ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 3 กม. ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ด้วยความเป็นกังวลว่าสัมภาระที่เรานำไปกับระยะการเดินทางไปอุทยานฯ จะทำให้เราเดินทางล่าาช้า ผมจึงคุยและต่อรองราคาให้พาไปส่งยังที่ทำการอุทยาน โดยให้ค่าพาไปส่งต่างหาก 100 บาท คนขับตอบตกลง เมื่อมาถึงอุทยานเราก็ให้ค่ารถคนละประมาณ 30-40 บาท และค่าจ้างต่างหากอีก 100 บาท แก่ขับคน
คนขับบอกกับเราว่าอาจไม่มีรถขึ้นไปข้างบน เพราะเป็นช่วงวันปกติ และถ้าไม่มีรถขึ้นไปข้างบนเขามีรถญาติที่สามารถจะพาขึ้นไปได้ เขาจึงทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้และจากพวกเราไป จากนั้นพวกเรติดต่อกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อชำระค่าเข้าคนละ 30 บาท ตอนแรกพวกเรากะว่าจะพักอยู่บริเวณที่ทำการอุทยาน แต่อยู่ได้ซักพักก็คิดว่าอยากจะพักแบบเป็นธรรมชาติและต้องการดูทะเลหมอกยามเช้า เลยตัดสินใจไปพักที่บ้านกร่างแคมป์ พวกเราเลยมองหารถเช่าที่อุทยานฯ ปรากฏว่ามีรถกระบะสีล้อ สองแถวให้บริการเช่า เราเลยไปสอบถามราคาเขาบอกว่าคันละ 1,000 บาท ผมจึงขอต่อรองราคากับคนขับ คนขับก็ไม่ยอม (คงคิดว่ามีรถเขาคันเดียว และพวกเราคงไม่มีรถไปแน่) ผมกับเพื่อน ๆ เลยตัดสินใจใช้บริการของญาติคนขับรถหกล้อที่ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้เรา เมื่อเราโทรไปและขอต่อรองราคาที่จะขึ้นไปบ้านกร่างที่คนละ 120 บาท (รวมเป็นเงิน 600 บาท) เขาตอบตกลง และพาพวกเราขึ้นไปบนบ้านกร่างแคมป์ทันที เมื่อไปถึงบ้านกร่างแคมป์เรานำสัมภาระลงจากรถและกล่าวคำขอบคุณ พร้อมจ่ายเงินทันที จากนั้นเราจึงมอง หาที่กางเต๊นท์ เรามองไปรอบ ๆ ลานกางเต๊นท์ ก็เห็นที่กางอยู่มี 2 หลังด้วยกัน เราจึงตัดสินใจกางเต๊นท์ใกล้ ๆ กับสองเต๊นท์นั้น เราใช้เวลากางเต๊นท์ประมาณ 30 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย
พวกเราจึงเดินสำรวจรอบ ๆ และชมผีเสื้อที่มาหากินที่ลานผีเสื้ออย่างเพลิดเพลิน ไม่นานผมก็เหลือบไปเห็นสัตว์คล้าย ๆ เหมือนกระรอกบนต้นไม้แต่ไม่แนใจว่าใช่กระรอกหรือเปล่า และติดต่อเจ้าหน้าที่ดูแลพร้อมให้ข้อมูลปรากฏว่าเป็นพญากระรอก ซึ่งผมก็พึ่งเห็นนี่แหละสวยจริง ๆ ครับ หางยาวมาก นั่งชมไปชมมาก็มีนกต่าง ๆ มากมายแบบไม่เคยเห็นแถวบ้านบินไปมาและส่งเสียงร้องแบบไม่คุ้นหูเอาเลย จนเวลาเกือบ 18.00 น. ก็มีฝูงอะไรไม่ทราบส่งเสียงร้องเหมือนลิง เลยขอคำตอบจากเจ้าหน้าที่ปรากฏว่าเป็นค่างที่กำลังจะกลับรัง เราจึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เสียสละเวลาให้คำตอบเรา ตอนนี้พวกเรารู้สึกหิวกันทุกคนแล้วเพราะวันนี้พึ่งมีอาหารตกถึงท้องแค่เพียงมื้อเดียว บนบ้านกร่างแคมป์ก็ไม่มีร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อ พวกเราจงลงมือทำปรุงอาหารประจำทริปคือ มาม่า+ปลากระป๋อง หลังจากเสร็จสับกับอาหารมื้อเย็นก็เข้านอน เพราะมองไปทางไหนก็มืดไปหมด เห็นมีไฟฟ้าก็ที่ทำการของเจ้าหน้าที่เท่านั้น โทรศัพท์บนบ้านกร่างแคมป์ก็ไม่มีคลื่นสัญญาณ จึงตัดสินใจเข้านอน แต่นอนไปได้ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามาปลุกและบอกพวกเราว่าให้เอาเต๊นท์ไปกางที่แถวบ้านพักของเจ้าหน้าที่ เพราะฝนกำลังจะตกและสัตว์ก็ออกหากินช่วงกลางคืน พวกเราก็อึ้งแต่ก็ไม่รอช้ารีบขนเต๊นท์ไปกางแถวบ้านพักเจ้าหน้าที่ทันที แต่ผมก็ยังสงสัยว่ามีสัตว์ป่ามาหากินตอนกลางคืนอจริงหรือ อยากให้ช่วยพาไปดูหน่อยได้ไหม เจ้าหน้าที่ตอบตกลงเราจึงมีโอกาสได้ชมสัตว์เวลากลางคืน เจ้าหน้าที่พกไฟฉายและพาพวกเราไปที่ครัวแคมป์บ้านกร่าง ประมาณ 2 ทุ่ม เศษพวกเราก็เห็นตาอะไรอยู่ในความมืดไม่รู้ประมาณ 3 คู่ เดินทาเข้ามาทางครัวแคมป์บ้านกร่าง ดวงตาแวววาวจนทำให้พวกเราอยากเห็นตัว เมื่อเจ้าหน้าที่เอาไฟฉายส่องไปปรากฏว่าเป็น อีเห็น 1 ตัว กับชะมด 2 ตัว ที่กำลังออกหากิน (ตัวใหญ่กว่าสุนัขที่บ้านผมซะอีก) เมื่อมันเห็นแสงไฟ อีกไม่นานมันก็เดินลับหายไปกับความมืด พวกเราคิดว่าน่าจะมีแค่ชะมดเท่านั้น แต่อีกไม่นานผมก็ได้ยินเเหมือนเสียงอะไรขู่บริเวณใกล้ ๆ เจ้าหน้าที่เอาไฟฉายส่องไปที่เสียงขู่ปรากฏว่ามีเม่นสองตัวซึ่งน่าจะเป็นแม่กับลูกออกหากิน ซึ่งตัวแม่ใหญ่มากเมื่อมันเห็นแสงไฟส่องไปที่ตัวมัน เม่นสองตัวก็วิ่งหายไปกับความมืดอีกเช่นเคย อีกไม่นานเราก็ขอตัวกลับเต๊นท์เพราะว่าเพลียเหลือเกิน
รุ่งเช้าของวันพุธ พวกเราตื่นตั้งแต่ ตีห้าครึ่ง เพื่อรอดูเก้งหม้อมากินโป่ง ที่บริเวณหลังโรงครัวอุทยานฯ และเห็นอยู่ไกล ๆ ครับ เพราะถ้าเข้าไปใกล้กว่านี้มันคงหนีเข้าป่าไปแน่ จากนั้นไม่นานเราก็ดื่มกาแฟคนละแก้ว และเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวขึ้นไปชมทะเลหมอก ที่จุดชมวิวพะเนินทุ่ง การขึ้นไปที่พะเนินทุ่งนี้จะมีเวลาช่วงเวลารถวิ่งขึ้นและวิ่งลงครับ คือ เวลาขึ้น ช่วงเช้า 05.00-09.30 น. ช่วงบ่าย เวลา 14.30-15.00 น. เวลาลง ช่วงเช้า 12.00-13.00 น. ช่วงบ่าย 16.30-18.00 น. เช็คให้ดีก่อนนะครับเพราะว่าทางค่อนข้างแคบครับ พวกเราขอความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ช่วยโบกรถให้พวกเราและก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ ครับ เมื่อมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อจะขึ้นไปพะเนินทุ่งเช่นกัน จึงเป็นโชคดีของพวกเราครับ พวกเราขึ้นบนกะบะหลังครับ ระหว่างทางขึ้นมันมากครับกลิ้งไปก็กลิ้งมาอยู่บันหลังกะบะกว่าจะถึงมึนนิดหน่อยครับ พอมาถึงที่พวกเราก็รีบวิ่งไปเก็บภาพทะเลหมอกทันทีสวยครับ ไม่เสียแรงที่ดั้นด้นมา เราอยู่กันจนสายหมอกเริ่มจางหายไป
พี่คนที่เป็นสามีภรรยาชวนเราว่าไปเที่ยวน้ำตกทอทิพย์ด้วยกันหรือปล่าวพวกเราไม่ปฏิเสธครับ รีบรับคำทันที โดยลานจอดรถที่จะไปน้ำตกทอทิพย์อยู่ไม่ห่างจากจุดชมวิวพะเนินทุ่งมากนัก ประมาณ 0.5 กม. แต่ถนนจะเป็นทางลงลาดชันและแคบควรระวังด้วยนะครับ จากลานจอดรถไปน้ำตกทอทิพย์ประมาณอีก 4 กม. พวกเรา 5 คน กับพี่ที่เราอาศัยมาอีก 2 คน เป็น 7 คน จึงเดินทางมุ่งหน้าไปยังน้ำตกทอทิพย์ทันที พวกเราเดินมาได้ประมาณ 1 กม. เพื่อนในกลุ่มก็ก้มลงมองไปบนพื้นดินที่เรากำลังเดินอยู่เขาเห็นตัวอะไรซักอย่างเหมือนหนอน จึงเรียกให้เพื่อนในกลุ่มดู ทุกคนถึงกับอึ้งเพราะว่าที่เห็นนั้นเป็นทากดูดเลือดจำนวนมากที่โผล่ออกมาจากพื้นดิน พวกเราจึงก้มลงมองที่ขา ปรากฏว่าทากเหล่านั้นเกาะบนขาและกางเกงเราเป็นจำนวนมาก ทุกคนจึงวิ่งไม่คิดชีวิตกลับไปยังลานจอดรถทันที ผมเปิดรองเท้าผ้าใบที่ใส่ถึงกับอึ้ง เพราะว่าทากเกาะอยู่ที่เท้าเป็นจำนวนมากแบบที่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ผมจึงเอาไฟแช็คลนทากออกจนหมด
เราใช้เวลาตรงนี้ค่อนข้างนานและเมื่อถึงเวลาลงพวกเราจึงลงจากพะเนินทุ่งมาพร้อมกับพี่สามีภรรยาคู่นั้นครับ เราลงมาถึงบ้านกร่างแคมป์ เราก็ขอบคุณพี่สามีภรรยาและลาพี่จากจุดนี้ พวกเราทุกคนรู้สึกหิวและอยากมีอาหารรองท้องเป็นข้าวสวยจึงขอความอนุเคราะห์จากเจ้าหน้าที่อุทยาน โดยให้ขับรถมอเตอร์ไซด์พาผมลงไปซื้อข้าวที่ร้านค้าอุทยานฯ ด้านล่างผมตอบแทนพี่เป็นน้ำมันหนึ่งถังและ 45 ดีกรี 1 ขวด ระหว่างลงเขาบางช่วงพี่เขาจะดับเครื่องเพราะเป็นทางลงที่ไม่ต้องใช้แรง(เนื่องจากเขาชำนาญทางดีครับได้บรรยากาศ) เมื่อถึงร้านค้าผมก็สั่งข้าวมา 10 กล่อง (เผื่อไม่อิ่ม) เป็นกระเพราไก่ไข่ดาว และน้ำอัดลมขวดใหญ่ + น้ำแข็ง ผมใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมงจึงขึ้นมา แต่ขากลับขึ้นบ้านกร่างแคมป์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแต่เป็นโชคดีของผมครับ เมื่อเห็นสัตว์คล้ายวัวตัวหนึ่งกำลังข้ามถนน เจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่าเป็นกระทิง แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้พกกล้องมาด้วย จึงได้แต่เก็บไว้ในความทรงจำเท่านั้น อีกไม่นานผมและเจ้าหน้าที่อุทยานก็มาถึงบ้านกร่างแคมป์ ผมกับเพื่อนก็ฟาดมื้อเย็นทันที ระหว่างการร่วมวงอาหารเย็นผมก็ได้ถามกับเจ้าหน้าที่ว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวอีก เจ้าหน้าที่บอกว่าจะพาไปเที่ยวชมทัศนียภาพธรรมชาติในป่า และขึ้นไปชมวิวที่บนเทือกเขาหนุมาน พวกเราได้ยินดังนั้นหลังจากอาหารเย็นจึงรีบอาบน้ำและตัวเข้านอน
เช้าวันศุกร์เริ่มขึ้นพวกเราตื่นประมาณ 08.00 น. และรองท้องด้วยกาแฟคนละแก้ว จากนั้นก็ไปคอยเจ้าหน้าที่ที่นัดไว้ที่ลานผีเสื้อ ระหว่างรอก็เห็นว่ามีรถผ่านหลายคันผมคิดว่าวันนี้คนน่าจะเริ่มเข้ามาพักเยอะเพราะเป็นช่วงติดต่อวันหยุด อีกไม่นานเจ้าหน้าที่ก็มาพวกเราจึงเริ่มออกเดินทาง เจ้าหน้าที่บอกว่าใช้เวลาเดินทางเข้าไปประมาณ 2 ชม. จึงจะถึงลานหนุมานเราก็ไม่หวั่นครับ ระหว่าทางก็มีต้นหญ้าโน้มเข้ามาตามทางเจ้าหน้าที่ก็เบิกทางให้เราครับ ระหว่างการเดินทางเราก็ได้เห็นรอยหมูป่าหากิน (ยังใหม่ ๆ อยู่เลย) และเห็นรอยที่สัตว์จำพวกเก้ง กวาง กระทิง ใช้เขาลับคมกับต้นไม้ พวกเรายังได้เห็นชะนี และนกต่าง ๆ อีกมาก พวกเราเดินทางมาใกล้จะถึงลานหนุมานแล้วแต่มีจุดหนึ่งที่ต้องทำให้การเดินทางล้าช้าก็คือต้องปีนหน้าผา ถ้าใครไม่ปีนขึ้นไปก็ต้องรอที่นี่ ขากลับจึงจะมารับได้ ผมคิดว่ามาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันยังไงก็ต้องไปกันทั้งหมดเพราะขากลับจะกลับอีกทาง เจ้าหน้าที่นำทางไปคนแรกแต่ในกลุ่มมีสาว ๆ บางคนกลัวความสูงผมจึงเป็นคนสุดท้ายคอยประคองกว่าจะขึ้นคบทุกคนก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน อีกไม่นานพวกเราก็ขึ้นสู่ลานหนุมาน ด้านบนมีถ้ำเล็ก ๆ อยู่อากาศภายในถ้ำค่อนข้างเย็นสบาย เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นที่อาศัยของสัตว์จำพวกเลียงผา กวางผา จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเราไปนั่งเล่นและพักผ่อน รวมทั้งเก็บรูปวิวบนยอดเขา ซึ่งเรามองไปทางไหนก็มีแต่ป่า ผมกับเพื่อน ๆ คิดว่าถ้ามาเองคงกลับไปไม่ถูกแน่
เรานั่งเล่นและฟังเจ้าหน้าที่คุยเรื่องป่าจนได้ที่จึงเดินทางกลับอีกทางหนึ่ง ระหว่างขากลับเราก็ได้พบเห็นมูลสัตว์กองหนึ่ง เจ้าหน้าที่เอาไม้เขี่ยดูบอกว่าเป็นมูลของเสือและเพิ่งจะถ่ายออกมาไม่นาน เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่เป็นไรแต่มันคงไปแล้วแต่พวกเราก็จ้ำกันเร็วกว่าเดิม ขากลับรู้สึกว่าจะเร็วกว่าขามาซะอีกใช้เวลาประมา 1.30 ก็ถึงบ้านกร่างแคมป์ พวกเราตอบแทนความมีน้ำใจของเจ้าหน้าที่โดยให้ค่าตอบแทน 300 บาท และกล่าวคำขอบคุณ เพราะเขาได้ให้ความช่วยเหลือเรามามาก จากนั้นเราจึงขอตัวไปอาบน้ำและเก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับ เรารอเวลาจนประมาณ 16.30 น. เพื่อขออาศัยโบกรถขาลงที่จะกลับ และไม่ผิดหวังจริง ๆ ครับ เมื่อมีรถวิ่งลงจากพะเนินทุ่งและต้องผ่านเข้าตัวเมืองเพชรบุรีครับ พวกเรา 5 คน จึงขออาศัยเจ้าของรถมาลงที่ตัวเมืองเพชร พวกเรากล่าวคำขอบคุณและอำลาเจ้าของรถ จากนั้นเราก็ขึ้นรถปรับอากาศ กรุงเทพ-เพชรบุรี ครับ เราลงที่เดิมครับคือ ม.ศิลปากรวิทยาเขตสนามจันทร์ จ.นครปฐม ค่าโดยสารก็คนละ 100 บาท ครับ ระหว่างอยู่บนรถเราก็คิดค่าใช้จ่ายโดยการแชร์คนละเท่า ๆ กัน ปรากฏว่าหมดไปคนละประมาณ 1,000 บาท ถือว่าคุ้มค่าจริง ๆ สำหรับการเดินทางนี้ จนรถวิ่งมาถึงสามแยกมาลัยแมน จ.นครปฐมพวกเราลงจากรถและแยกย้ายเดินทางกันกลับบ้าน และรอข่าวคราวการเดินทางในครั้งต่อไป
เรื่องเล่าการเดินทาง จาก Mr.annaontour |
ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2552 - 17:10:45 น. |
|
|